นโยบายเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย

คำแถลงนโยบายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย 

  1. มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (“นายจ้าง”) ให้การยอมรับว่าปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบนอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่สำคัญและถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเมื่อนำมาใช้อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถที่จะก่อให้เกิดโอกาสในการทำธุรกิจที่มีคุณค่า อย่างไรก็ตาม การใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการดำเนินงานอีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจที่สำคัญ 
  2. นโยบายของเราก็คือพนักงานของเราอาจจะใช้โซเชียลมีเดียอย่างจำกัดในระหว่างช่วงเวลางาน ดังที่ระบุไว้ในนโยบายนี้ นอกจากนั้น การใช้งานโซเชียลมีเดียโดยพนักงานของเราไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม และไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ของเราหรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้หากการใช้งานดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อธุรกิจของเราไม่ว่าด้านใดก็ตาม 
  3. วัตถุประสงค์ในการจัดทำนโยบายนี้ก็คือเพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าพนักงานของเราเข้าใจในสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
         ก. ขอบเขตของการใช้งานโซเชียลมีเดียแบบส่วนตัวตามที่ได้รับอนุญาตในระหว่างช่วงเวลางาน
         ข. ข้อจำกัดในการใช้งานโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะมีการใช้งานนอกเวลางานหรือไม่ก็ตาม และ
         ค. ประเภทในการใช้งานโซเชียลมีเดียที่อาจส่งผลทำให้พนักงานและเราต้องมีความรับผิดตามกฎหมาย
  4. เอกสารนี้เป็นคำแถลงนโยบายเท่านั้นและจะไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างงานของท่าน เราอาจใช้ดุลยพินิจของตนเองในการแก้ไขปรับเปลี่ยนนโยบายนี้ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม 

นโยบายนี้ถูกนำไปบังคับใช้กับใครและสิ่งใดบ้าง?

  1. นโยบายนี้รวมทั้งระเบียบที่ปรากฏอยู่ในนโยบายจะถูกนำไปบังคับใช้กับ 
         ก. พนักงานของเราทุกคน ไม่ว่าจะมีความอาวุโส อายุงาน และช่วงเวลาในการทำงานอยู่ในระดับใดก็ตาม ซึ่งจะรวมถึงลูกจ้าง กรรมการและเจ้าหน้าที่ ที่ปรึกษา และผู้รับจ้าง พนักงานที่ทำงานเป็นครั้งคราวหรือตัวแทน ผู้ฝึกงาน ผู้ที่ทำงานจากที่บ้าน และพนักงานที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างตายตัว รวมทั้งอาสาสมัครใดๆ (“พนักงาน”)
         ข. การใช้งานเว็บไซต์โดยพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานเพื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น เฟสบุ๊ค ลิงกต์อิน วิกิพีเดีย และทวิตเตอร์ ตลอดจนการทำบล็อก การเข้าร่วมในวิกิ และการใช้งานคุณลักษณะในการปฏิสัมพันธ์ หรือความสามารถในการโพสต์หรือตีพิมพ์ความคิดเห็นหรือข้อมูล (ซึ่งจะรวมถึงภาพเคลื่อนไหว เสียง รูปถ่าย และข้อความ) กับบุคคลอื่นในเว็บไซต์อื่นๆ (“โซเชียลมีเดีย”)
         ค. การใช้งานโซเชียลมีเดียเพื่อธุรกิจและ/หรือวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่ว่าจะมีการใช้งานในระหว่างระยะเวลางานและไม่ว่าจะมีการนำเอาอุปกรณ์หรือทรัพยากรของเราไปใช้หรือไม่ก็ตาม 
  2. นโยบายนี้ควรจะใช้ประกอบกับนโยบายเรื่องการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้ ยังมีนโยบายอื่นๆ ที่ควรจะนำมาประกอบกับนโยบายนี้ดังต่อไปนี้ 
         ก. นโยบายเรื่องการสื่อสารและการใช้อุปกรณ์ที่พึงประสงค์ 

ใครเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายนี้?

  1. โดยทั่วไปแล้ว ผู้อำนวยการแผนกไอทีจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลและปรับปรุงนโยบายมีให้เป็นปัจจุบัน พนักงานทุกคนมีความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการทำให้แน่ใจว่าตนเองได้ปฏิบัติตามนโยบายนี้ ผู้จัดการจะมีหน้าที่รับผิดชอบพิเศษในการกระทำตนเป็นตัวอย่าง เพื่อทำให้แน่ใจว่าพนักงานมีความคุ้นเคยกับนโยบายนี้ และเพื่อที่จะเป็นการตรวจติดตามและบังคับให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนด 

การใช้งานโซเชียลมีเดียเพื่อธุรกิจและเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนบุคคล 

  1. ข้อซักถามจากสื่อทั้งหมด (รวมทั้งการร้องขอให้แสดงความคิดเห็นเพื่อที่จะนำไปตีพิมพ์บนโซเชียลมีเดีย) ควรจะถูกส่งต่อไปให้กับหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์โดยตรง หากท่านได้รับการติดต่อจากตัวแทนของสื่อหรือได้รับการร้องขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเราหรือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานของท่านเพื่อที่จะนำไปตีพิมพ์ ท่านไม่ควรที่จะตอบรับเว้นแต่ท่านได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากหัวหน้าแผนกไอที 
  2. พนักงานที่ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากผู้อำนวยการแผนกไอทีเท่านั้น (ผู้ใช้งานทางธุรกิจที่รับอนุญาต) จึงจะสามารถใช้โซเชียลมีเดียในนามของเราได้ โดยอยู่ในฐานะขององค์กรหรือหน่วยงานอื่นใด หรือโพสต์ข้อคิดเห็นโดยใช้บัญชีหรือโพรไฟล์โซเชียลมีเดียของเราได้ หากท่านได้รับอนุญาตให้กระทำการดังกล่าว เราอาจกำหนดให้ท่านเข้ารับการฝึกอบรมก่อนที่จะดำเนินการดังกล่าว และท่านจะถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามคำแนะนำและคำสั่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร 
  3. เราจะอนุญาตให้พนักงานใช้งานโซเชียลมีเดียเป็นบางครั้งคราวในระหว่างที่อยู่ในที่ทำงานและใช้ทรัพยากรและอุปกรณ์ทางด้านไอทีหรือการสื่อสารของเรา (ระบบไอที) ตราบใดที่การใช้งานทั้งหมดยังเป็นไปตามนโยบายนี้และมิได้เป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ 

แนวทางในการใช้งานโซเชียลมีเดีย 

  1. การใช้งานแบบส่วนตัว – เว้นแต่ท่านจะเป็นผู้ใช้งานทางธุรกิจที่ได้รับอนุญาต เมื่อท่านใช้งานโซเชียลมีเดีย
         ก. ท่านจะต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าท่านกล่าวในนามส่วนตัวและไม่ใช่ตัวแทนของเรา สื่อสารในวิธีการที่สอดคล้อง และหากท่านจะระบุข้อมูลสำหรับการติดต่อ ก็ให้เป็นข้อมูลการติดต่อส่วนตัว ไม่ใช่ข้อมูลการติดต่อในสถานที่ทำงาน และ  
         ข. หากท่านตัดสินใจที่จะเปิดเผยการเชื่อมต่อของท่านให้เราทราบ ท่านจะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนและชัดแจ้งว่าความเห็นของท่านมิได้เป็นความเห็นของนายจ้าง
  2. รูปแบบถาวร – สิ่งสำคัญก็คือการจดจำไว้ว่าเมื่อมีการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียใดๆ การแสดงความคิดเห็นนั้นอาจจะถูกนำไปแสดงเป็นการถาวรและเข้าถึงได้โดยสาธารณะและท่านอาจจะไม่สามารถลบทิ้งหรือกำจัดข้อความเหล่านั้นในภายหลังได้ ท่านควรจะทำให้แน่ใจว่าการติดต่อสื่อสารของท่านสอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่ท่านมีความประสงค์ที่จะแสดงให้สาธารณชนรับทราบ รวมทั้งแสดงต่อเราและนายจ้างในอนาคต เพื่อนร่วมงาน เพื่อน ผู้ติดต่อทางธุรกิจ และคนทั่วทั้งโลก 
  3. ความรับผิดส่วนบุคคล – ขอได้โปรดระลึกไว้ว่าท่านจะต้องรับผิดชอบด้วยตนเองและอาจจะต้องรับผิดตามกฎหมายในสิ่งที่ท่านสื่อสารไปบนโซเชียลมีเดีย การโพสต์ข้อความสาธารณะในรูปแบบนี้สามารถสร้างปัญหาทางกฎหมาย ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปมากมาย รวมทั้งการทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง การกระทำผิดเรื่องการรักษาความลับ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือเป็นไปได้ว่าจะมีการคุกคามอย่างผิดกฎหมาย 
  4. การดูแลเอาใจใส่เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด – ก่อนที่จะโพสต์แสดงความคิดเห็น ให้คิดใคร่ครวญว่าข้อความเหล่านั้นอาจจะได้รับการตีความที่ผิดซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทางกฎหมายหรือการเสื่อมเสียชื่อเสียงของเราหรือของท่านได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ขอให้ท่านหลีกเลี่ยงจากการแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับเราหรือการจ้างงานของท่าน ด้วยเป็นข้อความคิดเห็นดังกล่าวอาจสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้แก่เราถึงแม้ท่านจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความเห็นที่ท่านแสดงไปนั้นเป็นความเห็นส่วนตัว 
  5. การให้ความเคารพในความเป็นส่วนตัวและการรักษาความลับ – เราทุกคนมีข้อมูลที่เราตั้งใจว่าจะเก็บไว้เป็นข้อมูลส่วนบุคคล กรุณาอย่าโพสต์ข้อความใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า ผู้รับบริการ หุ้นส่วนทางธุรกิจ ผู้จัดหา ผู้จัดจำหน่าย หรือผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ของเรา โดยไม่ได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นการกระทำผิดต่อนโยบายนี้ 
  6. การให้ความเคารพในทรัพย์สินทางปัญญา – หากท่านโพสต์หรือมีการอ้างอิงถึงข้อมูลใดๆ ที่ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ท่านจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านได้ดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดตามกฎหมาย เช่น การอ้างถึงแหล่งที่มาอย่างเหมาะสมและการตรวจสอบให้แน่ใจว่าการอ้างอิงนั้นเป็นการอ้างอิงที่ถูกต้อง ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ใช้งานทางธุรกิจที่ได้รับอนุญาต และสงสัยว่าการโพสต์หรือการอัพโหลดข้อมูลเข้าไปยังบัญชีโซเชียลมีเดียหรือโพรไฟล์ของเราเป็นการละเมิดต่อลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าของบุคคลใดหรือไม่ ท่านควรที่จะตรวจสอบกับผู้อำนวยการแผนกไอทีล่วงหน้า 

การใช้งานโซเชียลมีเดียที่ไม่พึงประสงค์ 

  1. การติดต่อสื่อสารของท่านผ่านโซเชียลมีเดีย เช่นเดียวกับการสื่อสารรูปแบบอื่นๆ ทั้งหมด จะต้องไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยหรือระเบียบที่ใช้ในที่ทำงานหรือนโยบายและระเบียบปฏิบัติอื่นใด และจะต้องไม่ทำให้เรากระทำผิดต่อภาระผูกพันที่เรามีต่อบุคคลอื่นหรือกระทำผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ท่านจะต้องไม่ใช้โซเชียลมีเดียไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามซึ่งมีลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้ 
         ก. เป็นการกระทำผิดต่อรับภาระผูกพันในการรักษาความลับที่ท่านมีต่อเราหรือบุคคลภายนอกไม่ว่ารายใดก็ตาม หรือทำให้เราจะต้องกระทำผิดต่อหน้าที่ในการรักษาความลับที่เรามีต่อบุคคลภายนอกไม่ว่ารายใดก็ตาม 
         ข. การกระทำผิดต่อสิทธิของพนักงานรายอื่นใดหรือบุคคลภายนอกที่มีในความเป็นส่วนตัว การคุ้มครองข้อมูล และการรักษาความลับ มือถือเป็นการกลั่นแกล้งหรือคุกคาม 
         ค. เป็นการแสดงความก้าวร้าว ดูหมิ่น เลือกปฏิบัติ หรือลามกอนาจาร 
         ง. เป็นการคุกคามต่อความลับทางการค้า ข้อมูลที่เป็นความลับ และทรัพย์สินทางปัญญาของเรา 
         จ. เป็นการละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลหรือหน่วยงานอื่นใด 
         ฉ. สร้างความเสื่อมเสีย ดูหมิ่น หรือทำให้เราหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลใดๆ ที่เราทำธุรกิจด้วย เช่น ผู้จัดหาหรือลูกค้า ต้องเสียชื่อเสียง 
         ช. กระทำผิดหรือทำให้เรากระทำผิดต่อกฎหมายหรือระเบียบหรือแนวทางใดๆ ที่หน่วยงานใดๆ ซึ่งมีอำนาจในการควบคุมธุรกิจของเรากำหนดไว้ 
         ซ. กระทำผิดต่อระเบียบว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองข้อมูล 
         ฌ. กระทำผิดต่อระเบียบ นโยบาย หรือระเบียบปฏิบัติของเราในการใช้งานระบบไอทีหรืออุปกรณ์หรือทรัพยากรอื่นๆ 
         ญ. ไม่ซื่อสัตย์ ไม่เหมาะสม ไร้ศีลธรรม สร้างความบิดเบือน หรือหลอกลวง (เช่น ปลอมตัวเป็นบุคคลอื่น)
         ฎ. เป็นไปได้ว่าจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของท่านหรือของเราไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม 
         ฏ. กระทำผิดต่อนโยบายและระเบียบปฏิบัติอื่นๆ ของเรา รวมทั้งนโยบายเรื่องการติดต่อสื่อสารและการใช้งานอุปกรณ์ที่พึงประสงค์ของเรา 
  2. ท่านอาจจะไม่ใช้โลโก้ ชื่อตราสินค้า คําขวัญ หรือเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ของเรา หรือโพสข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลที่มีกรรมสิทธิ์ของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 
  3. ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดต่อทางธุรกิจที่ท่านจัดทำขึ้นในระหว่างการสร้างงานของท่านก็จะถือเป็นข้อมูลที่เป็นความลับและเป็นทรัพย์สินของเรา ดังนั้น ท่านจะไม่ได้รับอนุญาตให้เพิ่มข้อความดังกล่าว (รวมทั้งรายละเอียดในการติดต่อ) เข้าไปยังบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัวของท่าน 
  4. ท่านจะต้องไม่อ้างถึงบุคคลใดๆ ในเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย (รวมทั้งเว็บไซต์เครือข่ายทางวิชาชีพใดๆ) ซึ่งอัตลักษณ์ของเราในฐานะนายจ้างของท่านปรากฏต่อสาธารณชนหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเว็บไซต์ที่เป็นส่วนตัว ข้อกำหนดนี้จะถูกนำมาบังคับใช้ ไม่ว่าการอ้างอิงนั้นจะเป็นไปในเชิงบวกหรือเชิงลบ เหตุผลของความสำเร็จนี้ก็คือ การอ้างถึงดังกล่าวอาจจะทำให้เรามีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นการสร้างความรับผิดตามกฎหมายให้แก่ท่านและเราในฐานะของผู้เขียน 

การตรวจติดตาม 

  1. ข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบไอทีของเราจะถือเป็นทรัพย์สินของเรา ท่านจะไม่ได้รับความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร เอกสาร ไฟล์ข้อมูล โพสต์ หรือข้อความโต้ตอบ (“ข้อมูล”) ที่ท่านส่งไปหรือได้รับ เข้าถึง พิมพ์ หรือจัดเก็บโดยใช้ระบบไอทีของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราอาจดำเนินการดังต่อไปนี้ 
         ก. ตรวจสอบ ตรวจติดตาม และอ่านข้อมูลหรือตรวจสอบกิจกรรมใดๆโดยใช้ระบบไอทีของเรา รวมทั้งการใช้งานโซเชียลมีเดีย เพื่อทำให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามระเบียบของเราและเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายของเรา สิ่งนี้อาจจะรวมถึงการใช้งานอุปกรณ์บันทึกหรือวิธีการเฝ้าระวัง การตรวจสอบการกดแป้นพิมพ์ และใช้เทคโนโลยีอื่นๆ และ
         ข. จัดเก็บสำเนาข้อมูลเพื่อนำเอาสำเนาของข้อมูลหรือการติดต่อสื่อสารนั้นมาเก็บไว้หลังจากที่มีการสร้างขึ้นและลบสำเนาดังกล่าวเป็นครั้งคราวโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ทราบ
  2. จะมีการตรวจติดตามโซเชียลมีเดียโดยเป็นไปตามผลการประเมินผลกระทบที่เราได้ดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าการตรวจติดตามเป็นเรื่องที่จำเป็นและเหมาะสม การตรวจติดตามถือเป็นผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของเราและจะทำให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามนโยบายนี้ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองข้อมูล นายจ้างจะมีฐานะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานของท่าน ซึ่งหมายถึงว่าเราจะเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของการปฏิบัติตามข้อกำหนดว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลคือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลของเรา 
  3. ตามปกติแล้ว ทีมงานด้านความปลอดภัยทางด้านไอทีของเราจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจติดตาม 
  4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับในระหว่างที่มีการตรวจติดตามอาจถูกนำมาแบ่งปันภายในองค์กร รวมทั้งแจ้งให้พนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้จัดการสายตรงของท่าน ผู้จัดการในแผนกธุรกิจที่ทำงานอยู่ และเจ้าหน้าที่ไอทีทราบ หาการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจำเป็นต่อการปฏิบัติตามหน้าที่ของบุคคลเหล่านั้น ทั้งนี้ จะมีการแบ่งปันข้อมูลภายในองค์กรเพียงเท่านั้นหากเรามีเหตุที่สมควรซึ่งทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดต่อนโยบายนี้ เราจะไม่แจ้งข้อมูลที่ได้รับจากการตรวจติดตามให้บุคคลภายนอกทราบ เว้นแต่เรามีหน้าที่ที่จะต้องรายงานให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในการควบคุมหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทราบ ข้อมูลส่วนบุคคลที่รวบรวมมาในระหว่างที่มีการตรวจติดตามจะไม่ถูกโอนไปนอกราชอาณาจักรไทย 
  5. ท่านมีสิทธิมากมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงสิทธิของเจ้าของข้อมูลในการเข้าถึงข้อมูลและสิทธิในการขอให้แก้ไขหรือลบข้อมูลของท่านในบางกรณี ท่านสามารถตรวจสอบสิทธิเหล่านี้รวมทั้งวิธีการในการเข้าถึงข้อมูลได้ในนโยบายเรื่องการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งปรากฏอยู่ที่ นโยบายเรื่องการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และหากท่านเชื่อว่าเราไม่ได้ปฏิบัติตามสิทธิในการคุ้มครองข้อมูลของท่าน ท่านสามารถยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้&
  6. สิทธิในการเข้าถึงโซเชียลมีเดียอาจถูกเพิกถอนได้ในกรณีที่มีการใช้ในทางที่ผิด 
  7. กรุณาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นโยบายเรื่องการติดต่อสื่อสารและการใช้อุปกรณ์ที่พึงประสงค์ของเรา 

การกระทำผิดต่อนโยบายนี้ 

  1. เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องชื่อเสียงในการทำธุรกิจของนายจ้าง หากท่านพบเห็นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่ถือเป็นการสร้างความเสื่อมเสีย เป็นเท็จ หรือสร้างความเสียหาย หรือเป็นข้อมูลขององค์กรหรือผู้มีส่วนได้เสียของเราที่ไม่ถูกต้อง ท่านควรที่จะติดต่อกับผู้อำนวยการแผนกไอที ในกรณีที่การกระทำผิดต่อนโยบายนี้สร้างความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ ให้แก่เรา หรือเราทราบมาว่าการกระทำผิดใดๆ ต่อนโยบายนี้ถือเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรงต่อสัญญาจ้างงานของท่าน นอกเหนือจากสิทธิของเราในการบอกเลิกการจ้างงานของท่านแล้ว เรายังขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายอื่นใด และใช้สิทธิ์ตามกฎหมายอื่นใดที่เราพึงมี 
  2. พนักงานที่กระทำผิดต่อนโยบายนี้
         ก. จะถูกกำหนดให้เปิดเผยรหัสผ่านและข้อมูลในการลงชื่อเข้าใช้ที่เกี่ยวข้องและให้ความร่วมมือในการสืบสวนของเรา
         ข. อาจถูกกำหนดให้ลบโพสต์ การแสดงความคิดเห็น หรือข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และ
         ค. อาจถูกลงโทษทางวินัยซึ่งอาจถึงขั้นไล่ออก

นโยบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

  1. พนักงานจะต้องอ่านคู่มือพนักงานเพื่อศึกษานโยบายและระเบียบปฏิบัติอื่นๆ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ ที่กล่าวถึงในนโยบายนี้